พูดถึงประเทศเกาหลี หลายคนคงไปตามกระแสดารา นักร้อง ช้อปปิ้ง หรือ ตามสอยเครื่องสำอางกันซะส่วนใหญ่ แต่ในเมื่อกินกับพีทไปถึงเกาหลีแล้ว ประเด็นหลักมันต้องอยู่ที่เรื่องกินนน!! เท่านั้นครับ ครั้งนี้ไป 3 วันตั้งเป้าว่าจะเก็บให้ได้หลากหลายแนว หลายระดับ จะได้กินอะไรบ้าง ไปกันเลยครับ!!!
เมื่อถึงเกาหลีแล้วก็มุ่งหน้าสู่ร้าน Bistro Seoul เป็นร้านอาหารสไตล์โมเดิร์นที่เสิร์ฟอาหารพื้นเมืองมาในรูปแบบที่เรียบหรูดูดี บรรยากาศร้านสวยงาม รองท้องด้วยซุปมันหวานสีม่วงนวล ละมุนลิ้นเพิ่มสัมผัสด้วยความหนึบจากแป้งต๊อก แทบอยากจะขอเบิ้ลเลย ชอบสุดๆครับ ต่อด้วยเนื้อบดและเห็ดย่างที่สุกกำลังพอดีพร้อมซอสรสหวานเค็ม วุ้นเส้นผัดเมนูง่ายๆที่เสิร์ฟเรียบๆแต่ดูดีซะงั้น เข้าสู่จานหลักครับเป็นซี่โครงเนื้อผัดซอสโคชูจังรสออกเค็มเผ็ดกินกับข้าวร้อนๆนี่เปรมเลย แต่ที่อยากแนะนำอีกจานคือ Sable Fish ต้มแล้วหมักซอสรสหวานเค็มเผ็ดนิดๆ เนื้อแน่นแทรกด้วยมันนิดๆคล้ายปลาหิมะ จานนี้ยกให้เป็นที่สุดของมื้อนี้ รองจากซุปมันหวานเลยคร้าบ
Wol-Hyang ร้านนี้มีทีเด็ดอยู่ที่ไวน์ข้าวดีกรี 15% เสิร์ฟก่อนมื้ออาหารเพื่อกระตุ้นความอยาก และเปิดสัมผัสรับรสครับ สัมผัสนวลๆแต่ถ้ารีบก็อาจจะหลับก่อนได้ ฮ่าๆ แนะนำให้จิบคู่กับอาหารแต่ละจานก็ช่วยเพิ่มความกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น จานอร่อยที่นี่ขอยกซุปซีฟู้ด เหมือนสุกี้ที่รวมอาหารทะเลทั้งกุ้ง เต้าหู้ปลา ลูกชิ้นกุ้ง หอยสังข์ ฯลฯ กับบรรดาของทอดที่เค้าเรียกว่าแพนเค้กก็หลากหลายกว่าที่เคยเห็นในบ้านเราครับ ทั้งปลาหมึกยัดไส้ ปูอัด ไข่ ผักต่างๆหน้าตาดูดี ส่วนอีกจานแนะนำปลาหมึกจิ้มน้ำมันงาหอมมัน เคี้ยวเพลินจริงๆเลย ที่นี้ผมลองเอาไวน์ข้าวมาผสมกับน้ำส้ม ได้รสชาติใหม่ที่อร่อยมากๆๆๆ เมาง่ายด้วย เอ้ยยยย เหมือนกินคาลพิสผสมวอดก้ายังงั้นเลยคร้าบ ส่วนเมนูอื่นๆอย่างหมู เนื้อ ไก่ก็มีนะครับ
เข้ามื้อสุดท้ายของวันแรก มุ่งเข้าย่านกังนัมตามหาร้านหอยย่างที่ไม่ธรรมดา เกซบอลเอชินจู หน้าร้านมีรูปเด็กน้อย เพราะที่นี่มีหอยย่างชีสสสส ที่แว่บแรกจะนึกว่าเลี่ยนรึป่าว แต่เค้าผสมทาบาสโก้ไปตัดเลี่ยน เอามาย่างบนเตาร้อนๆ หรือ จะสั่งแบบเตานึ่งก็ได้ครับ สำหรับผมแล้วเตาย่างจะฟินกว่านะ มีแบบเส้นพาสต้าครีมซอสเสิร์ฟมาในเปลือกหอยแมลงภู่ขนาดยักษ์ด้วยยย!!! สั่งแยกมาอีกเมนูเป็นปลาหมึก ต๊อก และชีสสสส ในกระทะร้อน อร่อยโคตร กว่าจะกินถึงเมนูนี้ท้องแทบแตกไปแล้ว ฮ่าๆๆๆ แต่ก็ไม่กลัว ลุยต่อไปตามสภาพ พลางจิบโซเม็ก หรือเบียร์ผสมโซจู จบมื้อแบบโคตรฟินครับร้านนี้ ใครมาห้ามพลาดเลยนะครับ
เริ่มชีวิตวันที่สอง ลุยร้าน Two Plus ร้านเนื้อชื่อดังย่านกรุงโซล มีเนื้อหลากหลายส่วนให้เลือกสั่งมาปิ้งบนเตาทองเหลืองเพิ่มความหอมรวมถึงร้อนเร็วด้วย สำหรับใครที่ชอบแกะตอนนี้มีซี่โครงแกะด้วยนะครับ ราคากำลังดีเลย ส่วนที่ผมกินวันนี้เป็นเนื้อสับหมักมาอย่างดี ภาพดูไม่น่าทานแต่เมื่อได้ทานเท่านั้นแหละ สุดยอดปลื้มปริ่มมากๆ เนื้อสับนุ่มๆรสหวานเค็มอ่อนๆ กลมกล่อมแบบไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่ม ส่วนเลือดและซอสที่หมักเมื่อไหลลงไปรวมกับซุปที่ขอบเตาแล้วกลายเป็นน้ำราดทีเด็ดเลย กินแพรพเดียวหมดไม่เหลือ โผล่ขึ้นมาข้างๆซัดของหวานกันหน่อยกับคุกกี้ของเบ็นที่ชิ้นโตนุ่มหนาแน่นปนกรอบ สั่งแบบคู่กับไอศกรีมวานิลลา ไม่ต้องบินไปถึงอเมริกาก็ได้กินค้าบ
มื้อถัดมาไปลุยกันที่ร้านหรูสุดของทริปอย่าง Congdu ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ยาวนานที่เหล่าคนดังและผู้หลักผู้ใหญ่แวะเวียนมากินกันเป็นประจำ เมนูอาหารที่เสิร์ฟแบบคอร์สจัดวางมาอย่างสวยงามมีศิลปะและขั้นตอนพิถีพิถัน ซุปฟักทองสีเหลืองทองสวยงามอร่อยอุ่นท้อง กุ้งที่ใส่ไวน์ข้าวลงไปนึ่ง 1 นาทีในถังไม้ ทำให้ความหวานหอมผสมเข้าไปในเนื้อ เด้งสดอร่อยเต็มคำ ทีเด็ดก็ตามมาไม่หยุด มันปูดองงงงงงง!!! เมนูนี้ต้องร้องเลย ตักมันปูดองเป็นคำๆกินกับข้าววว!!! ลองนึกตามนะครับ อิอิ ปิดท้ายด้วยขนมหวานหน้าตาสวยงามราวกับงานศิลป์แบบนี้ครับ ประทับใจอย่างแน่นอนบอกเลย ส่วนราคาที่ร้านนี้อาจจะเอาเรื่องหลักพันต่อหัว แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าแก่การมากินคร้าบ
เข้ากังนัมอีกรอบคราวนี้ตามกลิ่นหมูย่างไปที่ Hanam Pig House ร้านที่รวบรวมเนื้อหมูส่วนต่างๆไว้อย่างครบตัว สั่งมาให้หมด สันนอก สันใน ร่องซี่โครง ไส้กรงไส้กรอก ฯลฯ มีพนักานมาตัดปิ้งให้ถึงที่ หมูร่องซี่โครงนุ่มๆ สามชั้นติดมันฉ่ำๆ นอกจากหมูที่เป็นทีเด็ดแล้ว ต้องยกให้เครื่องเคียงอย่างใบกระเทียมป่าดอง หอมเปรี้ยมหวานความหนาของใบที่กัดแล้วกรึบๆเล็กน้อยคล้ายสาหร่ายวากาเมะเอามาห่อหมูแล้วกิน แก้เลี่ยนแถมอร่อยมากๆ และไม่พลาด จัดโซเม็กไปอีกคืน ก่อนเดินเล่นชิลๆย่อยย่านทงแดมุน ที่นี่ห้างปิดกัน ตีห้า!!! ตะลึงตึ่งตึง ช้อปกันไป เดินจนหิวก็หาของกินใหม่ ฮ่าๆๆๆ
กินอย่างไม่หยุดยั้ง เผลอแปปเดียววันสุดท้ายแล้วง่า วันนี้ขอเข้าทงแดมุนบ้างครับ ย่านช้อปปิ้งที่หลายคนรู้จักกันดี แต่ช่างขาช้อปเถอะ เราจะกินกันต่อ หนึ่งในเป้าหมายของทริปนี้คือ หมึกดึ๊บ ที่เค้าเรียกกันว่า ซันนักจี หรือหมึกที่สดจนเหมือนยังมีชีวิตอยู่แบบที่เราเคยเห็นกันในหนังอ่าเนอะ และแล้วก็เดินเจอจนได้สั่งมาก่อนเลย ขยับเขยื้อนลากเลื้อยเลยครับ หยึยยยย กินแล้วดูดในเพดานปาก เหนียวกว่าหมึกทั่วๆไปที่ผ่านการปรุง ราดน้ำมันงาเช่นเคย ขอเรียกว่าเป็นของแปลกแล้วกันครับจานนี้ คืออาจจะมีคนที่ชอบมากก็ได้ ฮ่าๆๆๆ ของผมยกให้หมึกพริกเผากระทะร้อนผัดกับต้นกระเทียม คลุกข้าวกินอร่อยฝุดๆ สำหรับชื่อร้านนี่บอกยากจริงๆ เดินๆถามคนในย่านหา ซันนักจี เค้าจะแนะนำไปจนถึงร้านนี่ล่ะครับ จุดเด่นคือเกือบทั้งร้านเป็นเมนูปลาหมึกคร้าบ
ต่อที่ร้านนี้ มันดุ หรือ เกี๊ยวเกาหลี ห่อไส้หมูสับผสมกุ้ง มีแบบนึ่ง และทอด ชิ้นโตมาก คือทีแรกมองว่าเป็นของทานเล่น ที่ไหนได้เค้าให้กินเป็นมื้อหลักได้เลย มีแบบซุปเกี๊ยวรสกลมกล่อมที่มีเกี๊ยวเบิ้มๆ 3 ลูก หมูสับผสมกุ้งปั้นก้อน และแป้งต๊อกตัดแว่น เมนูนี้มองดูแล้วคล้ายการกินก๋วยเตี๋ยวทำนองนั้น แต่อิ่มอยู่ท้องมากกว่าซะอีก สงสัยคนที่นี่จะเน้นกินแป้งกันเป็นหลักจริงๆ ถึงตอนนี้ก็ชักจะอิ่มพุงกางแล้ว โอววว!! ท้องหรือไร???
ข้างๆกันเป็นร้านชา Osulloc สั่งน้ำแข็งใสรสชาดำมากิน อร่อยอ่ะ คล้ายๆชาเนสทีบ้านเรา มีถั่วแดงและแป้งโมจิรวมอยู่ด้วย จริงๆแล้วร้านนี้เป็นร้านที่เน้นการเอาชามาทำเครื่องดื่มและขนมหวานนั่นเองครับ ดูจากตู้แล้วคงต้องมาลองอย่างอื่นๆในทริปต่อๆไปเพราะว่าสำหรับทริปนี้ ผมคงไม่เหลือพื้นที่ท้องอีกต่อไปแล้ว ขอจบหวานๆแบบอิ่มเกือบถึงคอแบบนี้ บินกลับอย่างสุขใจสบายท้องแล้วกันนะคร้าบ
เท่ากับว่า 3 วันนี้ได้ตะลุยกิน 9 ร้าน 9 สไตล์ จริงๆทั้งร้านหรู กลาง ข้างทาง หมึก หมู ซีฟู้ด เนื้อ ซุป ปิ้ง ย่าง คาว หวาน เห็นแบบนี้แล้วขอบอกเลยว่ามากินที่นี่ได้เปิดประสบการณ์อาหารเกาหลีมากกว่าที่เห็นในบ้านเราจริงๆนะครับ เพื่อนๆมาแล้วกินอะไรแปลกๆ กินอะไรอร่อยๆ อยู่ย่านไหนก็แนะนำ มาคุย มาแชร์ กันได้นะค้าบ ขอบินกลับไทยละ หวังว่าน้ำหนักจะไม่เกิน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ